ค้นหางานศิลปกรรม
ฐานข้อมูลศิลปกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถาปัตยกรรมเจดีย์ธรรมยังจี
เจดีย์ธรรมยังจี เป็นเจดีย์ที่พยายามจำลองแบบอานันทเจดีย์อย่างชัดเจน คือ มีการสร้างเจดีย์ในผังกากบาท ด้านบนมีหลังคาลาดรองรับศิขระ ภายในมีทางประทักษิณและมีมณฑปสี่ทิศ อย่างไรก็ตาม ทางประทักษิณชั้นในสุดและครรภคฤหะสี่ทิศกลับถูกถมให้กลายเป็นแกนกลาง เปลี่ยนใจในภายหลังนี้อาจแสดงความไม่มั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างหรือความไม่แน่ใจของสถาปนิก
สถาปัตยกรรมเจดีย์สูลามณี
เป็นเจตีวิหารสองชั้นที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในศิลปะพุกาม โดยปรากฏกการซ้อนกันของเรือนธาตุชั้นล่างกับชั้นบน ชั้นล่างเป็นแกนกลางขนาดใหญ่รับน้ำหนักเจตียวิหารในผังแบบครรถคฤหะ-มณฑปด้านบน ส่วนยอดนั้นเป็นยอดศิขระเจตียวิหารสองชั้นนี้ถือเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะพุกามตอนปลาย โดยปรากฏมาก่อนที่เจดีย์สัพพัญญูในรัชกาลพระเจ้าอลองสิทธุ และจะปรากฏต่อไปกับเจดีย์ติโลมินโลซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้านันตวงมยาด้วย
สถาปัตยกรรมเจดีย์ฉปัฏ
เจดีย์องค์นี้เป็นตัวอย่างของการผสมผสานกันระหว่างเจดีย์แบบพม่าแท้กับเจดีย์แบบลังกา โดยเจดีย์องค์นี้ยังมีลวดบัวฐานประกอบด้วยท้องไม้เจาะช่องตามแบบพม่าแท้อยู่ อย่างไรก็ตาม เจดีย์กลับอยู่ในผังกลม ไม่มีบันไดขึ้นด้านบนฐานและไม่มีทางประทักษิณด้านบนฐานตามแบบลังกา อัณฑะของเจดีย์เป็นทรงโอคว่ำและมีบัลลังก์สี่เหลี่ยมไม่เพิ่มมุมตามแบบลังกาเช่นกัน
สถาปัตยกรรมเจดีย์ธรรมยาซิกา
เจดีย์ประกอบด้วยฐานในผังห้าเหลี่ยมเพิ่มมุมจำนวนสามชั้น แต่ละชั้นประดับภาพชาดกและมีทางประทักษิณพร้อมบันไดขึ้นทุกด้าน ที่มุมประดับด้วยสถูปิกะ องค์ระฆังประดับด้วยรัดอกและบัวคอเสื้อตามแบบเจดีย์พม่าโดยทั่วไป ไม่มีบัลลังก์ ถัดขึ้นไปได้แก่ปล้องไฉนทรงกรวยเตี้ย ปัทมบาทและปลีสั้นซึ่งถือเป็นลักษณะสำคัญของเจดีย์แบบพม่าในศิลปะพุกาม แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นลักษณะของเจดีย์แบบพม่าแท้โดยทั่วไป แต่ลักษณะที่โดดเด่นของเจดีย์องค์นี้ก็คือ การที่เจดีย์องค์นี้อยู่ในผังห้าเหลี่ยม ซึ่งแทนพระอดีตพุทธและอนาคตพุทธในภัทรกัป ด้านหน้าบันไดแต่ละด้านปรากฏกู่ประดิษฐานพระอดีตพุทธและอนาคตพุทธ เจดีย์ทรงระฆังห้าเหลี่ยมถือเป็นลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของเจดีย์องค์นี้ เนื่องจากไม่มีเจดีย์ทรงระฆังองค์อื่นใดอีกเลยในศิลปะพุกามที่สามารถสร้างเจดีย์ในแผนผังแบบพิเศษนี้
สถาปัตยกรรมเจดีย์ติโลมินโล
เป็นเจตียวิหารสองชั้นที่พยายามจำลองแบบเจดีย์สูลามณีซึ่งสร้างขึ้นโดยรัชกาลก่อนหน้า โดยปรากฏการซ้อนกันของเรือนธาตุชั้นล่างกับชั้นบน ชั้นล่างเป็นแกนกลางขนาดใหญ่รับน้ำหนักเจตียวิหารในผังแบบครรถคฤหะ-มณฑปด้านบน ส่วนยอดนั้นเป็นยอดศิขระ รูปแบบทั้งหมดนี้ไม่แตกต่างไปจากเจดีย์สูลามณี เจตียวิหารสองชั้นนี้ถือเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะพุกามตอนปลาย โดยปรากฏมาก่อนที่เจดีย์สัพพัญญูในรัชกาลพระเจ้าอลองสิทธุ และกลายเป็นที่นิยมในรัชกาลพระเจ้านรปติสิทธุและพระเจ้านันตวงมยา
สถาปัตยกรรมเจดีย์มหาโพธิ
เนื่องจากเจดีย์องค์นี้เป็นการจำลองแบบเจดีย์มหาโพธิ์ที่พุทธคยา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นอาคารสองห้องที่ห้องด้านหน้าประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ส่วนห้องด้านหลังประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์ เรือนธาตุอยู่ในรูปของฐานชคตีที่รองรับศิขระห้ายอดในผังปัญจายตนะ (ศิขระหลังกลางหนึ่งขนาบด้วยศิขระบริวารทั้งสี่ทิศ) ตามระเบียบแบบอินเดีย ศิขระที่นี่เป็นศิขระรูปสี่เหลี่ยมคางหมูและประกอบไปด้วยเรือนธาตุจำลองเช่นเดียวกับเจดีย์มหาโพธิ์ที่อินเดีย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการลอกเลียนแบบมากกว่ารูปแบบที่เป็นไปตามพัฒนาการปกติ
สถาปัตยกรรมมิงคลาเจดีย์
เจดีย์ประกอบด้วยฐานในผังสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมจำนวนสามชั้น แต่ละชั้นประดับภาพชาดกและมีทางประทักษิณพร้อมบันไดขึ้นทุกด้าน ที่มุมประดับด้วยสถูปิกะ องค์ระฆังประดับด้วยรัดอกและบัวคอเสื้อตามแบบเจดีย์พม่าโดยทั่วไป ไม่มีบัลลังก์ ถัดขึ้นไปได้แก่ปล้องไฉนทรงกรวยเตี้ย ปัทมบาทและปลีสั้นซึ่งถือเป็นลักษณะสำคัญของเจดีย์แบบพม่าในศิลปะพุกาม เจดีย์แบบพม่าแท้องค์นี้ แสดงการเลียนแบบเจดีย์ชเวซิกองอย่างชัดเจน ทำให้มีรายละเอียดเกือบเหมือนเจดีย์ชเวซิกองต้นแบบอนึ่ง เจดีย์ชเวซิกองได้รับการเลียนแบบเสมอๆ ตลอดสมัยพุกามต่อเนื่องลงมาถึงสมัยหลัง
สถาปัตยกรรมเจดีย์ชเวดากอง
เจดีย์มอญมีองค์ประกอบที่สำคัญก็คือ แผนผังเป็นสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมขนาดใหญ่ ฐานลาดเอียง ไม่มีบันไดขึ้นและลานประทักษิณด้านบน รวมถึงสถูปิกะมักประดับอยู่ด้านล่างเสมอ และมีปลีที่ยืดยาวเหมือนปลีกล้วย ทั้งหมดนี้แตกต่างไปจากเจดีย์แบบพม่าแท้ทุกประการ ส่วนองค์ระฆังซึ่งประดับไปด้วยรัดอกและบัวคอเสื้อ การไม่มีบัลลังก์และ “ปล้องไฉนห่างๆ” ซึ่งมีปัทมบาทรองรับปลีนั้น กลับเป็นลักษณะร่วมกับเจดีย์แบบพม่าแท้